กรมศิลปากรจัดนิทรรศการ “นัยระนาบนอก อินซิทู: แปลงร่างอดีตในหลืบแห่งปัจจุบัน” (In Situ from Outside: Reconfiguring the Past in Between the Present) ขึ้นในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ภายในพระราชวังบวรสถานมงคล โดยเปิดพื้นที่ห้องโถงใหญ่ของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยที่เคยเป็นท้องพระโรงวังหน้า และมุขกระสันให้ศิลปิน 7 คน นำกลิ่นอายอดีตของวังหน้าที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ มาแสดงผ่านงานศิลปะการจัดวาง (art installation)
งานนี้ถือเป็นความก้าวหน้าของกรมศิลปากรที่เปิดพื้นที่ในพระที่นั่งฯ ให้งานศิลปะร่วมสมัย และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้คนที่เคยชื่นชมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะได้เคยเดินชมพระที่นั่งต่าง ๆ ในหมู่พระวิมาน โอกาสนี้จะได้สัมผัสวังหน้าในมิติใหม่ ๆ ผ่านงานศิลปะ
เมื่อเราก้าวเข้าไปในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย คนที่ช่างสังเกต หรือคนที่เคยเข้ามาชมพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยก่อนที่จะมีงานนิทรรศการ จะรู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนไปจากเดิม
พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยถูกใช้เป็นห้องจัดนิทรรศการพิเศษของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติพระนครตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 ปกติหน้าต่างในท้องพระโรงวังหน้าจะถูกปิดตาย วันนี้กลับตรงกันข้าม หน้าต่างทุกบานเปิดออกรับลมและแสงจากภายนอก ปล่อยให้อากาศถ่ายเท ลมพัดเย็นสบาย แม้ว่าเรากำลังอยู่ในเดือนที่ร้อนที่สุดของไทย การเปิดหน้าต่างครั้งนี้ทำให้พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยที่อายุเกือบ 2 ศตวรรษกลับมามีชีวิตชีวา แม้ว่าจะไม่ได้กลับมาทำหน้าที่สำคัญที่สุดในการเป็นห้องออกว่าราชการของพระมหาอุปราช แต่บรรยากาศในห้องก็ดูมีชีวิตชีวา ราวกับว่าท้องพระโรงแห่งนี้เปิดทำหน้าที่มาทุกวัน ตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ 3
เว็บไซต์บางกอกบิ๊กเอียร์สเดินทางมาชมนิทรรศการครั้งนี้กับเดอะวิสดอม กสิกรไทย โดยทางธนาคารพาลูกค้ากลุ่มพิเศษมาสัมผัสเรื่องราวต่างเวลาผ่านงานแสดงศิลปะ นับว่าเป็นโอกาสดีที่ทำให้ได้เห็นการนำอาคารอนุรักษ์มาผสมผสานกับการแสดงศิลปะร่วมสมัย ตลอดจนได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีความสามารถ
“คุณใหม่ต้องการให้เปิดหน้าต่างทุกบาน ใช้แสงไฟเฉพาะจุดที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนั้นปล่อยให้แสงธรรมชาติเข้ามา เพื่อรื้อฟื้นบรรยากาศของตัวสถานที่จริง ๆ” ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พูดถึงคุณใหม่ สิริกิติยา เจนเซน ผู้เป็นแกนหลักในการจัดนิทรรศการศิลปะครั้งนี้
จริง ๆ แล้ว นิทรรศการ “นัยระนาบนอก อินซิทู: แปลงร่างอดีตในหลืบแห่งปัจจุบัน” เป็นภาคต่อเนื่องจากนิทรรศการ “วังน่านิมิต” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2561 ทั้งสองงานเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนิทรรศการศิลปะ ‘วังหน้านฤมิต ในมิติแห่งกาลเวลา’ ที่นำงานศิลปะร่วมสมัยมาจัดในพื้นที่ที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นทับซ้อนกันพระราชวังบวรสถานมงคล
“ที่นี่เป็นท้องพระโรง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แล้วก็มีการใช้งานต่อเนื่องมาถึงช่วงรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการยกเลิกตำแหน่งวังหน้าแล้ว ก็ถูกใช้เป็นห้องเก็บของพิพิธภัณฑ์ฯ จนถึงปี พ.ศ. 2469 เมื่อสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชทานพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ก็ใช้ห้องนี้เป็นห้องจัดแสดง ใช้เรื่อยมาจนกระทั่งปี 2510 หลังจากนั้นก็ใช้เป็นห้องจัดนิทรรศการพิเศษจนถึงปัจจุบันนี้” ยุทธนาวรากรกล่าวถึงบทบาทของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ในช่วงระยะเวลานานกว่า 100 ปีที่พระที่นั่งฯ ตั้งอยู่ตรงนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นและทับซ้อนกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ “พื้นที่หนึ่งมันก็จะมีสถานที่ทับซ้อนกัน อย่างที่นี่เป็นท้องพระโรง เป็นห้องจัดนิทรรศการพิเศษ ดังนั้นมิติของสถานที่จะมีหลายมิติที่ทับซ้อนอยู่ในเวลาเดียวกัน นี่คือจุดหนึ่งที่คุณใหม่อยากนำเสนอ”
ชื่อนิทรรศการที่ใช้คำว่า อิน ซิทู (In Situ) นั้นแปลว่า สถานที่ที่เป็นจุดกำเนิด ซึ่งคำนี้เป็นคำที่ใช้ในหลากหลายวงการ ทั้งในวงการแพทย์ ชีววิทยา วิศวกรรม การก่อสร้าง การออกแบบ อาหาร รวมถึงแวดวงโบราณคดี ประวัติศาสตร์ วงการศิลปะ
ในวงการศิลปะอิน ซิทู หมายถึง การที่ศิลปินสร้างงานศิลปะในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งซึ่งได้กำหนดไว้แล้ว ดังนั้นชื่อของนิทรรศการเองก็ได้บ่งบอกถึงนัยของนิทรรศการว่าเป็นงานที่ให้ความสำคัญกับสถานที่และเป็นการทำงานของศิลปินและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาเพื่อเปิดประสบการณ์ในการค้นหาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และเรื่องราวของวังหน้าผ่านผัสสะต่าง ๆ
การดึงคนยุคปัจจุบันให้มีส่วนร่วมกับมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ รวมถึงให้ผู้เข้าชมงานเข้าใจ และเชื่อมโยงกับอดีตมากขึ้น
เมื่อก้าวเข้าไปในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย จะพบกับหนังสือ 2 เล่มวางบนโต๊ะ ชื่อผลงาน One Million Years ของออน คาวารา หนังสือเล่มแรก คือ Past – For all those who have lived and died “อดีต – แด่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว” ครอบคลุมช่วงเวลาระหว่าง 998,031 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนถึงปีคริสต์ศักราช 1969 ส่วนเล่มที่สอง Future – For the last one “อนาคต – แด่ผู้มีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้าย” เริ่มตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1993 ถึงปีคริสต์ศักราช 1,001,992
เดินถัดเข้าไปอีกหน่อยจะเห็นห่วงเหล็ก 2 ห่วง แขวนห้อยลงมาล้อกับลูกแก้วปรอท (Mercury ball) ในตู้กระจกที่เปิดประตูตู้อยู่ เป็นส่วนหนึ่งของผลงานชื่อ “เรือนร่างของสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้นเป็นรูปทรงกลม” ของ นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ ตัวลูกแก้วปรอทถูกจัดวางสร้างบทสนทนากับห่วงโลหะ 2 ห่วงที่สลักเนื้อเพลงลาวแพนภาษาไทย และภาษาลาว
ลาวแพนเป็นบทเพลงที่ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง พูดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวลาว ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองมาเป็นเชลยศึกหลังจากที่ทัพเจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองลาวถูกตีแตก เพลงลาวแพนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อ เนื้อร้อง และเครื่องดนตรีไปตามปัจจัยด้านเวลา การเมือง และด้านวัฒนธรรม ที่น่าสนใจคือเพลงลาวแพนยังคงอยู่ในแวดวงดนตรีของไทยจนถึงทุกวันนี้
ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีคนลาวจำนวนมากอาศัยอยู่รอบ ๆ กรุงเทพมหานคร คนลาวที่เดินทางมาจากแผ่นดินแม่นำศิลปะและดนตรี โดยเฉพาะแคนเข้ามาเล่นและเป็นที่นิยมในกรุงเทพมหานคร
ชิ้นงานที่สามในผลงานของนิพันธ์ คือ ลูกแก้วปรอทจำลอง ซึ่งติดตั้งในพื้นที่เดิมของลูกแก้วปรอท ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ เพื่อให้เกิดการสะท้อนจ้องดูระหว่างผู้เข้าชมงานและวัตถุ
ชิ้นงานที่น่าตื่นตาอีกชิ้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี คือ Untitled (state du miroir/ the mirror stage) ของ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ที่ออกแบบโมบายแอพพลิเคชั่นให้โต้ตอบกับผู้ใช้งานผ่าน “ลับแล” สองบานซึ่งเป็นโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ลับแล คือ เครื่องกั้นหรือบังตา เป็นแผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางครั้งก็มีการติดกระจก มีขาตั้งขนาบ 2 ข้าง ยกย้ายได้ มักตั้งต่อช่องประตูเข้าไป บังตาคนภายนอกไม่ให้เห็นภายใน ลับแลจะทำหน้าที่สองประการ คือ ใช้ขับไล่วิญญาณร้าย และใช้เป็นฉากกั้นเขต สำหรับการชมงานชิ้นนี้ผู้ชมต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นแล้ววางโทรศัพท์ไว้ในตำแหน่งระหว่างตนเองกับลับแล จึงจะถือว่าชมงานชิ้นนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์
นอกจากงานศิลปะการจัดวางจากศิลปิน 7 คน ที่จัดแสดง ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยและมุขกระสัน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดนิทรรศการ เช่น เข้าฟังการร้องเพลงประสานเสียงจากคณะสวนพลู ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในวันที่ 20 เมษายน 2562 หรือชิมอาหารตำรับโบราณผ่านการตีความของคนรุ่นใหม่อย่าง “เชฟ ตาม” ชุดารี เทพาคำ ผู้ชนะการประกวดท็อปเชฟไทยแลนด์คนแรก ในวันที่ 27 เมษายน 2562
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.wangnaproject.com